How to Digital Marketing

How to Digital Marketing ให้ถูกใจลูกค้า ด้วยการทำ A/B Testing

สำหรับการทำการตลาดในยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Digital Marketing ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจในปัจจุบันไปแล้ว ทั้งพนักงานที่อยู่ในออฟฟิสหรือ Freelance ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลแทบจะทุกที่ ทุกเวลา และด้วยความที่เป็นดิจิทัล (Digital) ทำให้การทำการทดลอง (Experiment) เพื่อเก็บข้อมูล (Data) นั้นเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ซึ่งทำให้นักการตลาดนั้นสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึก (Insight) ได้มากเพียงพอที่จะวิเคราะห์และประเมินได้ว่าแคมเปญที่ทำไปนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ควรต้องแก้ไขตรงไหนให้ถูกใจลูกค้ามากขึ้น สิ่งเหล่านี้สามารถเก็บข้อมูลได้ด้วยหลักการ A/B Testing เพื่อสร้างการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

A/B Testing คืออะไร?
เป็นกระบวนการจาก User Experience เพื่อทดสอบว่าองค์ประกอบ (Element) แบบไหน จะช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดประสบการณ์การใช้งานที่ดี และนำไปสู่ Conversion ที่มากที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นรูปแบบข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data)

หลักการของการทดสอบ คือ ถ้าเราอยากรู้ว่าระหว่าง รูปภาพ A กับ B อย่างไหนจะดีกว่ากัน สิ่งที่เราต้องทำเป็นอันดับแรกคือการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่เหมือนกันออกมาเป็นสองกลุ่ม แล้วก็เอาสิ่งที่คุณอยากรู้แบ่งแต่ละกลุ่ม ให้ได้เห็น สัมผัส หรือมีประสบการณ์ร่วมด้วย ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ จากนั้นก็รอดูผลลัพธ์ว่าระหว่างกลุ่ม A ที่ได้ตัวแปรแบบหนึ่งกับกลุ่ม B ที่เหมือนกับกลุ่ม A แต่ได้ตัวแปรอีกแบบหนึ่ง ผลลัพธ์ของกลุ่มไหนจะดีกว่ากัน

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าต้องการจะทดสอบแคมเปญกิจกรรมแจกของให้ดึงดูดลูกค้าเข้ามาเล่น แต่เราไม่แน่ใจว่าควรแจกอะไรดี ระหว่างโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือตั้งกลุ่มเป้าหมายออกมาแบบเดียวกัน จากนั้นก็ลองนำไอเดียทั้งสามนี้ทดลองบนออนไลน์แบบง่าย ๆ ก่อน ด้วยการโฆษณาบน Facebook แล้วก็รอดูสัก 1 – 2 สัปดาห์ พอหมดเวลาแล้วก็นำข้อมูลที่ได้มาดูว่า รูปภาพไหนหรือข้อความโปรโมชั่นแบบไหนที่ทำให้คนสนใจกดคลิกโฆษณาของเราเข้ามาลงทะเบียนมากกว่ากัน

การทดสอบแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีแต่ A กับ B แค่สองแบบเท่านั้น ในการทำงานจริง ๆ แล้วอาจจะมีสามหรือสี่แบบก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) และการทดสอบการออกแบบ (Design test) ซึ่งศัพท์ที่เรียกกันในภาษาของคนที่ทำ Testing จะเรียกแบบแรก (A) ว่า Control ส่วนแบบที่สอง (B) จะเรียกว่า Variation หากมีมากกว่าสองแบบ แบบถัดไปก็จะเรียกว่า Variation 2 เป็นต้น ในกรณีที่มีการทดสอบมากกว่า 2 แบบ เราจะเรียกการทดสอบนั้นว่า A/B/n testing ซึ่งอาจจะเป็น A/B/C/D testing ก็ได้ แต่การที่จะสามารถ test ได้หลาย ๆ รูปแบบนั้น เราต้องแน่ใจว่าว่า Traffic ที่มีในหน้านั้นมากพอสำหรับการทำ Test เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความถูกต้อง

Cr.Jobsdb

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.